วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

จงบอกชื่อเว็บไซต์ที่ให้บริการ Search Engine มา 5 มา 5 เว็บไซต์

http://www. go.com

ประโยชน์ที่ได้รับจาก Search Engine

1.การสร้างลูกค้าด้วยค่าใช้จ่ายที่ประหยัด
อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าเราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดในการที่จะทำ ให้ Search Engine มาอินเด็กซ์เว็บไซต์ของเรา และถ้าหากเว็บไซต์ของเราทำ SEO อย่างถูกต้องแล้วก็ยิ่งจะทำให้เราได้รับผู้เยี่ยมชมที่สามารถกลายเป็นลูกค้า ของเราได้อย่างง่ายดายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ในขณะที่คนอื่นอาจจะต้องเสียค่าใช้'จ่ายจำนวนมากต่อเดือนเพื่อลงโฆษณาบน Sponsored Links ไม่ว่าจะเป็น Google, Yahoo หรือ MSN

 2.ค่าใช้จ่ายที่คงที่

ค่าใช้จ่ายในการทำ Search Engine Optimization จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างคงที่ ซึ่งในบางครั้งการทำ SEO ในช่วงแรกนั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่พอผ่านขั้นตอนแรกไปแล้ว หลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนของการบำรุงรักษาอันดับ ค่าบริการสามารถลดลงได้ แต่ในทางกลับกัน การลงโฆษณาแบบ Paid-Search จะค่อนข้างเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

  
3.ช่วยสร้าง Brand Visibility
สมาชิกลองนึกดูนะครับว่า ถ้าหากสมาชิกค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดคำว่า "ประกันชีวิต" บริษัทประกันภัยชื่อดังต่างๆ ก็จะปรากฏขึ้นมาภายในหน้าแรกของ Google ยิ่งถ้าเป็นเว็บไซต์ของสมาชิกด้วยแล้วละก็ Brand ของสมาชิกก็จะปรากฏต่อสายตาผู้ค้นหาเป็นจำนวนมาก และสำหรับบริษัทอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ภายในหน้าแรกนั้นหากต้องการที่จะอยู่ในหน้าแรกของ Google ก็ต้องซื้อโฆษณาในรูปแบบ PPC ซึ่งค่อนข้างที่จะแพงถ้าหากเป็นคำที่มีการแข่งขันสูง


 4.ช่วยทำให้เกิดเป็นมาตราฐานและสามารถเข้าถึงได้ของเว็บไซต์
การที่เราจะสร้างเว็บไซต์ให้เป็นที่ชื่นชอบต่อ Search Engine นั้นต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างถูกต้อง เนื่องจาก Robots/Crawler นั้นสามารถสังเกตเห็นถึงข้อผิดพลาดของโค้ดได้ เพราะฉะนั้นแล้วการตรวจสอบความถูกต้องของโค้ดนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อ SEO และประโยชน์ที่จะตามมานั้นก็คือจะช่วยทำให้เว็บไซต์ของเราเป็นมาตราฐานมาก ขึ้นและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเช่นกัน



 5.ช่วยทำให้เกิด Repeat Business
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาจาก Search Engine โดยส่วนมากค่อนข้างจะใช้บริการเว็บไซต์ของคุณในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า ซึ่งนั้นก็หมายถึงเราสามารถที่จะเพิ่มจำนวนลูกค้าประจำเว็บไซต์ของคุณได้ ด้วยการทำ Search Engine Optimization


6.ช่วยสร้างลูกค้าใหม่
การค้นหานั้นเกิดจากความต้องการของผู้เยี่ยมชม เพราะฉะนั้นแล้วผู้เยี่ยมชมที่มาจาก Search Engine โดยส่วนมากจะมีความสนใจในสินค้าหรือบริการ และถ้าหากเว็บไซต์ของเราแสดงเนื้อหา ข้อมูลที่พวกเขาต้องการ การที่พวกเขาเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นลูกค้าประจำคนใหม่ของคุณนั้นก็มีโอกาส เป็นได้สูงเช่นกัน


7.ช่วยสร้างคอนเทนต์ที่ไม่เหมือนใคร
เป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้วว่าคุณภาพของเนื้อหาและเนื้อหาที่เป็นต้นฉบับ นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำ Search Engine Optimization และโดยธรรมชาติของข้อมูลภายในเครือข่าย WWW (World Wide Web) นั้นเนื้อหาที่ดีย่อมดึงดูดลิงค์เชื่อมโยงจากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ โดยเหตุผลนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่าทำไม คุณภาพของเนื้อหาภายในเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ


 8.เป็นโปรโมชั่นที่ไม่เคยหลับ

Search Engine นั้นเปรียบได้เทียบเท่ากับบริษัทโฆษณาส่วนตัวของคุณและทำงานให้คุณตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่ออาทิตย์ 365 วันต่อปี ซึ่งสามารถพูดได้ว่าเป็นบริษัทโฆษณาที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้

จงอธิบายการสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ด้วยการใช้ Search Engine มาอย่างน้อย 3 ประเภท

 สำหรับหลักในการค้นหาข้อมูลของ SEARCH ENGINE แต่ละตัวจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าทางศูนย์บริการต้องการจะเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีกลไกใน การค้นหาที่ใกล้เคียงกัน หากจะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาดไหน และพอจะนำเอาออกมาบริการให้กับผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปล่า ซึ่งลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้
1. 
การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซต์ต่างๆ
2. 
การค้นหาจากคำที่มีอยู่ใน TITLE (ส่วนที่ BROWSER ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้าน ซ้ายบนของหน้าต่างที่แสดง
3. 
การค้นหาจากคำสำคัญหรือคำสั่ง KEYWORD (อยู่ใน TAG คำสั่งใน HTML ที่มีชื่อว่า META)
4. 
การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ SITE
5. 
ค้นหาคำในหน้าเว็บเพจด้วย BROWSER    ซึ่งการค้นหาคำในหน้าเว็บเพจนั้นจะใช้สำหรับกรณีที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูลที่เว็บ เพจใด เว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่สะดวก ในลักษณะนี้เราใช้ใช้ BROWSER ช่วยค้นหาให้ ขึ้นแรกให้คุณนำ MOUSE ไปCLICK ที่ MENU EDIT แล้วเลือกบรรทัดคำสั่ง FIND IN PAGE หรือกดปุ่ม CTRL + F ที่KEYBOARD ก็ได้ จากนั้นใส่คำที่ต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กดปุ่ม FIND NEXT โปรแกรมก็จะวิ่งหาคำดังกล่าว หากพบมันก็จะกระโดดไปแสดงคำนั้นๆ ซึ่งคุณสามารถกดปุ่ม FIND NEXT เพื่อค้นหาต่อได้ อีกจนกว่าคุณจะพบข้อมูลที่ต้องการ

Search Engine มีกี่ประเภท พร้อมยกตัวอย่างการใช้งานแต่ละประเภท

ประเภทที่ 1 Crawler Based Search Engines
Crawler Based Search Engines คือ เครื่องมือการค้นหาบนอินเตอร์เน็ตแบบอาศัยการ
บันทึกข้อมูล และ จัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นจำพวก Search Engine ที่ได้รับความ
นิยมสูงสุด เนื่องจากให้ผลการค้นหาแม่นยำที่สุด และการประมวลผลการค้นหาสามารถทำ
ได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีบทบาทในการค้นหาข้อมูลมากที่สุดในปัจจุบัน
โดยมีองประกอบหลักเพียง 2 ส่วนด้วยกันคือ
1. ฐานข้อมูล โดยส่วนใหญ่แล้ว Crawler Based Search Engine เหล่านี้จะมีฐานข้อมูลเป็น
ของตัวเอง ที่มีระบบการประมวลผล และ การจัดอันดับที่เฉพาะ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างมาก
2. ซอฟแวร์ คือเครื่องมือหลักสำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งสำหรับ Serch Engine ประเภทนี้
เนื่องจากต้องอาศัยโปรแกรมเล็ก ๆ (ชนิดที่เรียกว่า จิ๋วแต่แจ๋ว) ทำหน้าที่ในการตรวจหา
และ ทำการจัดเก็บข้อมูล หน้าเพจ หรือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ในรูปแบบ ของการทำสำเนาข้อมูล
เหมือนกับต้นฉบับทุกอย่าง ซึ่งเราจะรู้จักกันในนาม Spider หรือ Web Crawler หรือ Search Engine Robots
ตัวอย่างหนึ่งของ Crawler Based Search Engine ชื่อดัง http://www.google.com
Crawler Based Search Engine ได้แก่ Google , Yahoo, MSN, Live, Search, Technorati (สำหรับ blog) ส่วนลักษณะการทำงาน และ การเก็บข้อมูงของ Web Crawler หรือ Robot หรือ Spider นั้นแต่ละแห่งจะมีวิธีการเก็บข้อมูล และการจัดอันดับข้อมูลที่ต่างกัน
ประเภทที่ 2 Web Directory หรือ Blog Directory
Web Directory หรือ Blog Directory คือ สารบัญเว็บไซต์ที่ให้คุณสามารถค้นหาข่าวสารข้อมูล ด้วย
หมวดหมู่ข่าวสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน ในปริมาณมาก ๆ คล้าย ๆ กับสมุดหน้าเหลืองครับ ซึ่งจะมี
การสร้าง ดรรชนี มีการระบุหมวดหมู่ อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตาม
หมวดหมู่นั้น ๆ ได้รับการเปรียบเทียบอ้างอิง เพื่อหาข้อเท็จจริงได้ ในขณะที่เราค้นหาข้อมูล
เพราะว่าจะมีเว็บไซต์มากมาย หรือ Blog มากมายที่มีเนื้อหาคล้าย ๆ กันในหมวดหมู่เดียวกัน ให้เรา
เลือกที่จะหาข้อมูลได้ อย่างตรงประเด็นที่สุด (ลดระยะเวลาได้มากในการค้นหา) ซึ่งผมจะขอ
ยกตัวอย่างดังนี้
ODP Web Directory ชื่อดังของโลก ที่มี Search Engine มากมายใช้เป็นฐานข้อมูล Directory
1.ODP หรือ Dmoz ที่หลายๆ คนรู้จัก ซึ่งเป็น Web Directory ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Search Engine
หลาย ๆ แห่งก็ใช้ข้อมูลจากที่แห่งนี้เกือบทั้งสิ้น เช่น Google, AOL, Yahoo, Netscape และอื่น ๆ อีก
มากมาย ODP มีการบันทึกข้อมูลประมาณ 80 ภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทยเราด้วยครับ
(URL : http://www.dmoz.org )
2. สารบัญเว็บไทย SANOOK ก็เป็น Web Directory ที่มีชื่อเสียงอีกเช่นกัน และเป็นที่รู้จักมากที่สุด
ในเมืองไทย (URL : http://webindex.sanook.com )
3. Blog Directory อย่าง BlogFlux Directory ที่มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับบล็อกมากมายตามหมวดหมู่
ต่าง ๆ หรือ Blog Directory อื่น ๆ ที่สามารถหาได้จาก Make Many แห่งนี้ครับ
ประเภทที่ 3 Meta Search Engine
Meta Search Engine คือ Search Engine ที่ใช้หลักการในการค้นหาโดยอาศัย Meta Tag ในภาษา
HTML ซึ่งมีการประกาศชุดคำสั่งต่าง ๆ เป็นรูปแบบของ Tex Editor ด้วยภาษา HTML นั่นเองเช่น
ชื่อผู้พัฒนา คำค้นหา เจ้าของเว็บ หรือ บล็อก คำอธิบายเว็บหรือบล็อกอย่างย่อ
ผลการค้นหาของ Meta Search Engine นี้มักไม่แม่นยำอย่างที่คิด เนื่องจากบางครั้งผู้ให้บริการหรือ
ผู้ออกแบบเว็บสามารถใส่อะไรเข้าไปก็ได้มากมายเพื่อให้เกิดการค้นหาและพบเว็บ หรือ บล็อกของ
ตนเอง และ อีกประการหนึ่งก็คือ มีการอาศัย Search Engine Index Server หลายๆ แห่งมากประมวลผลรวมกัน จึงทำให้ผลการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ไม่เที่ยงตรงเท่าที่ควร


Search Engine คืออะไร


เสิร์ชเอนจิน (search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไป


Search Engine

Search Engine 


จัดทำโดย

นาย  สุเมธ  เอ่งฉ้วน

เลขที่  8  ม.6/5

เสนอ

อาจารย์  ศุภสัณห์  แก้วสำราญ

ภาคเรียน ที่  1  / ปีการศึกษา  2557

โรงเรียนเมืองกระบี่

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อ้างอิง

อ้างอิง

(21.มิ.ย.57) http://hilight.kapook.com/view/71727


(21.มิ.ย.57) http://yanchaow.com/view336.aspx

อุปกรณ์กีฬาฟุตซอล



อุปกรณ์กีฬาฟุตซอล

  1. สนามแข่งขัน
  2. เสาประตูทรงเหลี่ยมหรือทรงกลมขนาดความกว้าง ระยะ 3เมตร สูงจากพื้น 2 เมตร พร้อมติดตาข่าย จำนวน 2 อัน
  3. ลูกฟุตซอล จำนวนอย่างน้อย 4 ลูก
  4. นาฬิกาจับเวลา จำนวน 5 เรือน
  5. ป้ายบอกเวลา ตั้งแต่หมายเลข 1-20
  6. ป้ายขอเวลานอก จำนวน 1 ตัว
  7. โต๊ะบันทึก หรือโต๊ะเจ้าหน้าที่ จำนวน 1 ตัว
  8. เก้าอี้ จำนวน 2 ตัว
  9. เก้าอี้ยาวหรือที่นั่งสำรอง จำนวน 2 ตัว
  10. อุปกรณ์สัญญาณไฟ และอุปกรณ์กริ่ง ออด แตร จำนวน 1 ตัว
  11. สกอร์บอร์ด
  12. เสื้อสำรอง จำนวน 2 สี ๆ ละ 15 ตัว มีหมายเลข 1-15
  13. เปลสนาม จำนวน 1 อัน
  14. ปอกแขน จำนวน 2 อัน
  15. ใบรายงานผู้ตัดสิน
  16. ใบรายงานผู้ตัดสินที่ 3
  17. ใบส่งรายชื่อนักกีฬา

สนาม

สนามกีฬาฟุตซอล






วิธีการเล่นกีฬาฟุตซอล

วิธีการเล่นกีฬาฟุตซอล

วิธีการฝึกสอน :
  การเลือกวิธีฝึกสอนขึ้นอยู่กับความสามารถวัย และระยะเวลาของการพัฒนาของผู้เล่น
พื้นที่ จำนวนและเป้าหมายของการฝึก  เช่น  หากเป็นผู้เล่นใหม่ควรเริ่มจากการฝึกเทคนิคและ 
ทักษะก่อน   แต่ผู้เล่นทุกคนมีระดับการเรียนรู้และการพัฒนาที่ต่างกัน ดังนั้น วิธีการและรูปแบบ 
อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่นและเป้าหมายของการฝึกเป็นสารคัญ
วิธีการฝึกสอน 
 การฝึกเทคนิค : หมายถึง การฝึกเฉพาะบุคคลหรือการฝึกรวมทั้งกลุ่ม เช่น การส่ง-รับ
การยิงประตู เป็นต้น โดยไม่มีความกดดันและต้องให้ถูกต้องรวมทั้งการเคลื่อนไหวและเคลื่อนที่

   การเคลื่อนที่เบื้องต้น  
           1.   การทรงตัว           
           2.  การเตรียมตัว          
           3.  การเคลื่อนที่ทั่วไป           
           4.  การเคลื่อนโดยการ  ก้าว ลาก ชิด (สไลด์)  ไปด้านข้าง ทั้งซ้ายและขวา           
           5.  การเคลื่อนที่โดยการ  ก้าว ลาก ชิด (สไลด์)  ไปข้างหน้าและข้างหลัง           
           6.  การเคลื่อนที่โดยการ  ก้าว ลาก ชิด (สไลด์)  ไปตามจุดกำหนด         
           7.  วิ่งออมหลักไปและกลับ           
           8.  การเคลื่อนที่แบบสเต็บขาตึง           
           9.  การเคลื่อนที่แบบสเต็บงอเข่า         
          10. การเคลื่อนแบบวิ่งข้ามกรวย

การสร้างความคุ้นเคยกับลูกฟุตซอล 
               การสร้างความคุ้นเคยกับลูกฟุตซอล  เป็นทักษะพื้นฐานของกีฬาฟุตซอลอย่างหนึ่ง   และมคีวามจําเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นใหม่    การที่จะเล่นกฬีาฟุตซอลให้ได้ดี   จะต้องสามารถครอบครองลูกฟุตซอลให้ เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว    ด้วยคุณสมบัติของลูกฟุตซอลที่มีรูปทรงกลมและ มีขนาดเลก็  ทําให้ลูกฟุตซอลมีความยืดหยุ่นในตัวของมันสูง    การไดสัมผัสกับลูกฟุตซอลบ่อยๆ    จะทําให้สามารถบังคับและครอบครองลูกฟุตซอลได้ดี     มีวิธีการสร้างความคุ้นเคยกับลูกฟุตซอล 

       การเตะลูกฟุตซอลด้วยข้างเท้าด้านใน  
                การเตะลูกฟุตซอลด้วยข้างเท้าด้านใน   หรืออีกอย่างหนึ่งเรียกว่า  ลูกแป   โดยใช้ส่วนของข้างเท้าด้านในเตะลูกฟุตซอล เป็นการเตะขั้นพื้นฐานที่ง่าย    เป็นการเตะส่งที่มีความแม่นยํา  รวดเร็วและเตะได้ทกโอกาส   แต่ต้องเป็นระยะสั้นๆ ใกล้ๆ   เช่น การส่งผ่านหรือยิงประตูระยะที่หวังผลแน่นอน   ควรเป็นระยะทางไม่เกิน 10   เมตร  วิธีการเตะลูกฟุตซอลด้วยข้างเท้าด้านใน    การเตะลูกฟุตซอลด้วยข้างเท้าด้านใน   มีวิธีการดังนี้
                1. วางเท้าที่ไม่ได้เตะให้ได้ระดับเดียวกับลูกฟตุซอลปลายเท้าชี้ไปในทิศทางที่ต้องการ
                2.  แบะเท้าข้างที่จะใช้เตะให้ปลายเท้าหันออกจากตัว เป็นมุมฉากกับเท้าอีกด้านหนึ่ง  ย่อเข่าแบะออกด้านนอกเล็กน้อย
                3.  เหวยี่งเท้าที่จะเตะแค่สะโพกโดยใช้แรงเหวี่ยงจากสะโพก   แขนทั้งสองข้างเหวยี่งเป็นธรรมชาติตามจังหวะเท้า  ย่อเข่าที่ไม่ได้เตะลงเล็กนอ้ยโน้มตัวไปข้างหน้า 
                4.   jอนเตะให้เหวี่ยงเท้าไปด้านหลังตรงๆ  ให้ส่วนกลางเท้าด้านในถูกหรือสัมผัสตรงกึ่งกลางหรือส่วนต่างๆ  ของลูกฟุตซอลตามทิศทางที่ต้องการ   เตะส่งลูกให้แรงโดยใช้แรง ส่งจากสะโพกเป็นจุดหมุน 
                5.   เมื่อเตะลูกฟุตซอลให้ส่งเท้าตามทิศทางของลูกฟุตซอลที่ถูกเตะออกไป 

กติกา

กติกา

กติกาของฟุตซอล 18 ข้อ
1. สนามแข่งขัน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาวของเส้นข้างต้องยาวกว่าความยาวของเส้นประตู ความยาวต่ำสุด 25 เมตร สูงสุด 42 เมตร กว้างต่ำสุด 15 เมตร สูงสุด 25 เมตร
2. ลูกบอล ต้องเป็นทรงกลม ทำด้วยหนังหรือวัสดุอื่นๆ ที่เหมาะสม เส้นรอบวงไม่น้อยกว่า 62 ซ.ม. ไม่เกินกว่า 64 ซ.ม. ขณะเริ่มแข่งขันน้ำหนักไม่น้อยกว่า 400 กรัม และไม่มากกว่า 440 กรัม ความดันลม 0.4-0.6 ระดับบรรยากาศ (400-600 กรัมต่อ ตร.ซ.ม.) ที่ระดับน้ำทะเล
3. จำนวนผู้เล่น ต้องมีผู้เล่น 2 ทีม แต่ละทีมจำนวนไม่เกิน 5 คน คนหนึ่งเป็นผู้รักษาประตู
4. อุปกรณ์ของผู้เล่น ประกอบด้วย เสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้น ถุงเท้ายาว สนับแข้ง รองเท้า
5. ผู้ตัดสิน ปฏิบัติหน้าที่ในสนาม
6. ผู้ตัดสินที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้านตรงข้ามของสนามแข่งขันกับผู้ตัดสิน
7. ผู้รักษาเวลาและผู้ตัดสินที่ 3 นั่งอยู่ด้านนอกสนามที่บริเวณเส้นแบ่งแดนด้านเดียวกับเขตเปลี่ยนตัว
8. ระยะเวลาการแข่งขัน แบ่งเป็น 2 ครึ่งเวลา ช่วงละ 20 นาทีเท่ากัน
9. การเริ่มเล่นและการเริ่มเล่นใหม่ การเลือกแดนกระทำโดยการเสี่ยงเหรียญหรือโยนเหรียญ ทีมที่ชนะการเสี่ยงมีสิทธิ์เลือกแดน ส่วนอีกทีมจะเป็นฝ่ายเตะเริ่มเล่น ทีมที่ชนะการเสี่ยงจะเตะเริ่มเล่นในครึ่งเวลาหลังของการแข่งขัน
10. ลูกบอลอยู่ในการเล่น-อยู่นอกการเล่น อยู่ในการเล่นนับจากเริ่มกระทั่งแข่งขันสิ้นสุด รวมทั้งเมื่อกระดอนจากเสาหรือคานประตูเข้ามาในสนาม หรือกระดอนจากผู้ตัดสิน หรือผู้ตัดสินที่ 2 เมื่ออยู่ในสนาม ส่วนลูกบอลอยู่นอกการเล่นคือเมื่อได้ผ่านเส้นประตูหรือเส้นข้าง ไม่ว่าบนพื้นหรือในอากาศ หรือกระทบเพดานหลังคา ผู้ตัดสินสั่งหยุดการเล่น
11. การนับประตู จะถือว่าได้ประตูเมื่อลูกบอลทั้งลูกได้ผ่านเส้นประตูระหว่างเสาประตูและภายใต้คานประตู
12. การเล่นที่ผิดกติกาและประพฤติผิด ผู้ตัดสินสั่งลงโทษได้ตามบัญญัติ
13. การเตะโทษ เป็นไปตามคำตัดสินของผู้ตัดสินเช่นกัน
14. การทำผิดกติการวม กระทำผิด 5 ครั้งแรกของแต่ละทีมในระหว่างการแข่งขันแต่ละครึ่งเวลา จะถูกจดบันทึกรวบรวมไว้ในรายงานการแข่งขัน
15. การเตะโทษ ณ จุดโทษ จะลงโทษแก่ทีมที่กระทำผิดกติกา
16. การเตะเข้าเล่น จะกระทำเมื่อลูกบอลผ่านเส้นข้างออกไปทั้งลูก ไม่ว่าจะบนพื้นหรือในอากาศ หรือกระทบเพดานหลังคา เตะจากจุดที่ซึ่งลูกบอลตัดผ่านออกเส้นข้าง ให้ฝ่ายตรงข้ามกับผู้เล่นที่สัมผัสลูกบอลเป็นครั้งสุดท้ายได้เตะเข้าเล่น
17. การเล่นลูกจากประตู กระทำเมื่อลูกบอลทั้งลูกได้ผ่านเส้นประตูออกไปไม่ว่าจะเป็นบนพื้นหรือในอากาศ โดยผู้เล่นฝ่ายรุกสัมผัสลูกบอลเป็นครั้งสุดท้าย
18. การเตะมุม กระทำเมื่อลูกบอลทั้งลูกได้ผ่านเส้นประตูออกไป ทั้งบนพื้นหรือในอากาศ โดยผู้เล่นฝ่ายรับสัมผัสลูกบอลเป็นครั้งสุดท้าย


ประวัติฟุตซอล

          
คำว่า ฟุตซอล มีรากศัพท์มาจากภาษาสเปนหรือโปรตุเกส ที่ว่า FUTbol หรือ FUTebol และภาษาสเปนหรือฝรั่งเศสเรียกคำว่า Indoor เป็นคำว่า SALa เมื่อนำมารวมกันจึงกลายเป็นคำว่า ฟุตซอล

          
กีฬาฟุตซอล ถือกำเนิดขึ้นในประเทศเเคนาดา เมื่อปี ค.ศ. 1854 (พ.ศ. 2397) เนื่องจากเมื่อย่างเข้าหน้าหนาว หิมะตกคลุมทั่วบริเวณ ทำให้นักกีฬาไม่สามารถเล่นกีฬาฟุตบอลกลางเเจ้งได้ จึงหันมาเล่นฟุตบอลในร่ม โดยใช้โรงยิมบาสเกตบอลเป็นสนามเเข่ง ทำให้ช่วงนั้นเรียกกีฬาฟุตซอลว่าIndoor soccer (อินดอร์ซอคเกอร์) หรือ five a side soccer

         
ปี ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) ฮวน คาร์ลอส เซอเรียนี จากเมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย  ได้นำกีฬาฟุตซอลไปใช้ในสมาคม YMCA (Young Man's Christuan Association) โดยใช้สนามบาสเกตบอลในการเล่นทั้งภายในและภายนอกอาคาร ทำให้กีฬา Indoor soccer ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

         
ปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) โรเจอร์ เกรน ได้บัญญัติกฎเพื่อใช้เป็นมาตรฐานควบคุมกีฬาชนิดนี้ และใช้มาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้นไม่นาน กีฬาชนิดนี้ก็เเพร่หลายไปทั่วโลก เป็นที่นิยมทั่วทั้งทวีปอเมริกาใต้ ทวีปยุโรป และแพร่กระจายไปทั่วโลก

          
ปี ค.ศ. 1965 (พ.ศ. 2508) มีการจัดการเเข่งขันฟุตซอลนานาชาติเป็นครั้งแรก และประเทศปารากวัยก็เป็นทีมชนะเลิศ ต่อจากนั้นก็มีการจัดเเข่งขันในระดับนานาชาติมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) มีการจัดฟุตซอลชิงแชมป์โลกขึ้นที่ประเทศบราซิล และเจ้าภาพเองก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะไป จึงมีการจัดการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการอีก 2 ครั้ง ในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) และ ปี ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ที่มีประเทศสเปนเเละออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ได้เข้ามาดูแลจัดการเเข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกอย่างเป็นทางการ